บิเซนเต ฟอกซ์ กูเอซซาดา (
สเปน: Vicente Fox Quesada; 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2485 –) เป็นนักธุรกิจและนักการเมืองชาว
เม็กซิโกซึ่งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 62 ของประเทศตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2543 จนถึง 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 เขาคือประธานาธิบดีของเม็กซิโกคนแรกที่ไม่ได้มาจาก
พรรคปฏิวัติแห่งชาติเม็กซิโก (พีอาร์ไอ) นับตั้งแต่ พ.ศ. 2472 โดยเขานั้นสังกัด
พรรคก้าวหน้าเม็กซิโก (พีเอเอ็น) ซึ่งเป็นพรรคการเมืองฝ่ายขวา
[1][2][3][4]ฟอกซ์ดำเนินนโยบายแบบ
การเมืองฝ่ายขวาเริ่มนำระบบเศรษฐกิจแบบ
เสรีนิยมใหม่มาใช้ในประเทศ รัฐบาลของเขามีความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้นกับ
สหรัฐในสมัยของประธานาธิบดี
จอร์จ ดับเบิลยู บุช[5]ซึ่งแตกต่างจากรัฐบาลก่อนหน้าในเม็กซิโกที่มีจุดยืนที่ขัดแย้งกับสหรัฐมาโดยตลอด รัฐบาลของเขาประสบความล้มเหลวในความพยายามเพิ่มภาษีเภสัชรวมถึงการสร้าง
สนามบินใน
ภูมิภาคเต็กซ์โกโก[6][7] นอกจากนี้เขายังขัดแย้งกับ
ประเทศคิวบาภายใต้การนำของ
ฟิเดล กัสโตร อีกด้วย
[8] การลอบสังหาร
ดิกนา โอชัวซึ่งเป็นทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนใน พ.ศ. 2544 ทำให้รัฐบาลของเขาถูกตั้งคำถามในเรื่องของการละเมิดสิทธิมนุษยชนและความพยายามที่จะกำจัดมรดกของพรรคพีอาร์ไอก่อนที่รัฐบาลของเขาจะหมดวาระไม่นาน เขาได้มีความขัดแย้งกับ
อันเดรส มานูเอล โลเปซ โอบราดอร์ประธานาธิบดีเม็กซิโกคนที่ 65 ซึ่งขณะนั้นโอบราดอร์ยังดำรงตำแหน่งเป็นนายกเทศมนตรีของ
เม็กซิโกซิตี โดยฟอกซ์และรัฐบาลพยายามถอดถอนโอบราดอร์ออกจากตำแหน่งนายกเทศมนตรีและขัดขวางไม่ให้โอบราดอร์ลงสมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งทั่วไปของประเทศในปี พ.ศ. 2549
[9][10] นอกจากนี้ รัฐบาลของฟอกซ์ยังมีปัญหาขัดแย้งทางการทูตระหว่าง
ประเทศเวเนซุเอลาและ
ประเทศโบลิเวียอันเนื่องมาจากการสนับสนุนให้สร้าง
เขตการค้าเสรีแห่งทวีปอเมริกาซึ่งถูกคัดค้านโดยรัฐบาลของทั้งสองประเทศ
[11][12] ใน พ.ศ. 2549 พรรคพีเอเอ็นซึ่งนำโดย
เฟลิเป กัลเดรอน อิโนโฆซาชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีซึ่งคะแนนนำโอบราดอร์เพียงเล็กน้อย โดยการเลือกตั้งครั้งนั้นถูกมองว่ามีการทุจริตจึงทำให้ประชาชนออกมาประท้วงทั้งประเทศ และในปีเดียวกันนั้นเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบใน
รัฐวาฮากาซึ่งเป็นการประท้วงเพื่อขับไล่
อูเอซิส รูอีซ ออร์ติสซึ่งเป็นผู้ว่าการรัฐวาฮากาในช่วงเวลานั้น
[13] รวมถึงยังเกิดการจลาจลที่
ซานซัลบาดอร์อาเนโกซึ่งทำให้รัฐบาลของเขาถูกตัดสินโดย
ศาลสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศในทวีปอเมริกาว่ามีความผิดฐานละเมิดสิทธิมนุษยนชจากการปราบปรามผู้ประท้วงอย่างรุนแรงซึ่งความไม่สงบเหล่านี้ส่งผลให้ฟอกซ์เสียคะแนนความนิยมไปมาก
[14] อย่างไรก็ตามเขาได้รับการยอมรับในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศและลดอัตราความยากจนของประเทศเม็กซิโกลงจากร้อยละ 43.7 ในปี พ.ศ. 2543 ลดลงเหลือร้อยละ 35.6 ในปี พ.ศ. 2549
[15]เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2546 ฟอกซ์เยือน
ประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาลและเข้าร่วม
การะประชุมเอเปคในปี พ.ศ. 2546 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ
[16] ซึ่งในขณะนั้นนายกรัฐมนตรีของไทยคือ
ทักษิณ ชินวัตรหลังจากที่เขาลงจากตำแหน่งประธานาธิบดี เขาได้กลับไปยัง
รัฐกัวนาฮัวโตอันเป็นบ้านเกิดของเขา เขามีส่วนร่วมในการพัฒนาศูนย์การศึกษา ห้องสมุด และพิพิธภัณฑ์บิเซนเต ฟอกซ์ซึ่งตั้งอยู่ในรัฐกัวนาฮัวโต เขายังเคยดำรงตำแหน่ประธาน
ศูนย์กลางประชาธิปไตยนานาชาติ (ซีดีไอ)
[17] ซึ่งเป็นสมาคมของพรรคการเมืองฝ่ายขวากลางระดับนานาชาติ ต่อมาฟอกซ์ถูกขับออกจากพรรคพีเอเอ็นใน พ.ศ. 2556 หลังจากการรับรองการสมัครลงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคพีอาร์ไอในการเลือกตั้งทั่วไปของประเทศเมื่อปี พ.ศ. 2555
[18]